รัก...ไม่รู้ตัว^-^
ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้ว เป็นเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัวของมาซากิกับเคนที่เกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว อยากรู้ว่าเป็นไงต้องลองอ่านดู (เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งจนจบ แนะนำติชมด้วยนะคะ)
ผู้เข้าชมรวม
209
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
รัก...ไม่รู้ตัว
ปี 2005
ออด...
เสียงออดดังขึ้นทำให้ร่างบางที่กำลังนอนอ่านนิตยสารอยู่ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปที่ประตูก่อนจะก้มมองที่ตาแมว เมื่อเห็นว่าเป็นพนักงานของคอนโดจึงเปิดประตูต้อนรับ
“คุณมาซากิใช่มั้ยครับ” เสียงทุ้มๆ ของคนที่ยืนอยู่หน้าประตูถามขึ้น และเธอก็พยักหน้ารับ
“ใช่ค่ะ”
“มีคนฝากของไว้ให้ครับ” พูดจบก็ยื่นซองเอกสารให้ก่อนจะขอตัวแล้วเดินกลับไป
มาซากิยืนมองซองเอกสารในมืองงๆ สักพักก็ปิดประตูแล้วเดินกลับมาที่โซฟา
‘อะไร’ มาซากิคิดในใจก่อนจะเปิดซองออกดูจึงพบว่าเป็นตั๋วเครื่องบินและจดหมายแนบมาด้วย
‘มาซากิ
พ่อเองนะลูก พ่อเห็นว่าเวลานี้ลูกก็ได้เรียนจบระดับมัธยมแล้ว พ่ออยากให้ลูกมาอยู่กับพ่อที่โตเกียว แล้วมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่ ลูกจะได้ไม่ลำบาก และพ่อก็จะได้ดูแลลูกบ้าง หวังว่าลูกคงจะไม่ผัดผ่อนอีกนะพ่อส่งตั๋วเครื่องบินมาให้แล้ว และวันมะรืน พ่อจะส่งคนไปรับที่สนามบิน
พ่อ’
มาซากิมองตั๋วเครื่องบินในมือนิ่ง เธอกำลังตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป นั่งอยู่แบบนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ในใจก็ยังนึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก จำได้ว่าเมื่อก่อนพ่อทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และมีงานอดิเรกคือการยิงปืน เด็กหญิงมาซากิในวัยเพียงแค่แปดขวบมักจะไปคลุกคลีอยู่กับพ่อที่สนามยิงปืน เธอหัดยิงปืนตั้งแต่ตอนนั้น และก็พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้เป็นแชมป์แม่นปืนของโรงเรียน ส่วนแม่ที่ร่างกายไม่แข็งแรง ก็มักจะมองดูสองพ่อลูกช่วยกันทำความสะอาดปืนอยู่ห่างๆ และก็คอยปรามไม่ให้เธอหมกมุ่นกับการยิงปืน แต่ทุกครั้งมาซากิก็จะบอกกับแม่ว่าเธอโตพอที่จะจับปืนได้แล้วโดยมีพ่อคอยสนับสนุน จนเมื่อสามปีก่อน บริษัทที่พ่อทำงานอยู่ได้มีการโยกย้ายพนักงาน พ่อของเธอโดนย้ายไปประจำเป็นผู้บริหารที่ญี่ปุ่น เธอจึงเลือกที่จะอยู่ดูแลแม่ที่เมืองไทย หลังจากนั้นไม่ถึงปี แม่ของเธอก็จากไปอย่างเงียบๆ ด้วยโรคร้าย ทิ้งให้มาซากิอยู่คนเดียวมาจนถึงทุกวันนี้โดยมีกำลังใจจากพ่อ และความเข้มแข็งของตัวเองเป็นเครื่องพยุงจิตใจ พ่อชวนให้เธอไปอยู่ด้วยกันที่โตเกียวหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังผัดผ่อน โดยให้เหตุผลว่าอยากเรียนมัธยมให้จบก่อน และพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ
สนามบินนาริตะ
ร่างระหงในชุดเสื้อแขนยาวคอตั้งกับเดนิมยีนส์กำลังเดินลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมไปตามทางเดินของบริเวณผู้โดยสารขาเข้า สายตามีอำนาจภายใต้แว่นกันแดดสีชาก็สอดส่องหาคนที่จะมารับ สักพักก็มีผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก
“คุณมาซากิใช่ไหมครับ” เขาถามเป็นภาษาไทยพลางก้มมองภาพถ่ายที่ไม่ค่อยชัดนักเนื่องจากแอบถ่ายในมือ
“ใช่ค่ะ” มาซากิเงยหน้ามองชายแปลกหน้า แม้จะไม่เคยรู้จักกัน แต่เธอก็ยังพูดเพราะเสมอ เคนจ้องมองเธออย่างลืมตัวสักพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“คุณเรียวส่งผมมารับคุณครับ” เขาเอ่ยสั้นๆ แล้วหยิบกระเป๋าเดินทางของมาซากิมาถือ “เชิญครับ” พูดจบก็เดินนำออกไปยังลานจอดรถ มาซากิมองแผ่นหลังของเขาอย่างไม่แน่ใจ แต่ก็ยอมเดินตามไปจนถึงรถที่จอดอยู่ คนขับรถที่ยืนอยู่ก่อนแล้วก้มหัวให้เธอนิดหนึ่งก่อนจะเปิดประตูให้ มาซากิลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปในรถ สักพักคนที่ไปรับเธอก็เปิดประตูข้างคนขับเข้ามานั่ง
“ผมชื่อเคน” เขาเอ่ยแนะนำตัวเมื่อรถเคลื่อนออกจากลานจอดรถโดยที่สายตาจับจ้องไปที่มาซากิผ่านกระจกส่องหลัง
“ค่ะ ฉันมาซากิ”
“ผมเป็นผู้ช่วยของคุณเรียว” เขาหมายถึงพ่อของมาซากิ “และนี่คนขับรถ ชื่อเซจิ” เซจิก้มหัวนิดหนึ่งเมื่อเคนเอ่ยแนะนำตัวเขาก่อนจะกลับไปสนใจกับการขับรถต่อ
“ทำไมพ่อไม่มารับฉันเองล่ะคะ” มาซากิถามขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“ท่านป่วยครับ” เคนตอบสั้นๆ แล้วหันหน้าไปอีกด้านเพื่อตัดบทการสนทนา หรืออีกนัยหนึ่งคือการหลบหนีอาการใจเต้นแรงของตัวเองเวลาที่มองหน้าสาวสวยที่นั่งอยู่ด้านหลัง
‘ป่วย พ่อเป็นอะไร’ มาซากิถามตัวเองในใจ และความเป็นห่วงพ่อก็ทำให้เธอกระวนกระวายใจไปตลอดทาง
“เชิญครับ” เคนเปิดประตูรถพร้อมกับผายมือไปยังบ้านหลังใหญ่
“ที่นี่เหรอคะ” มาซากิถามหลังจากลงมาจากรถแล้ว
“ครับ ที่นี่เป็นบ้านของคุณ
“คุณเรียวอยู่ในห้องนี้ครับ” เคนบอกก่อนจะเปิดประตูให้มาซากิเดินเข้าไป
“พ่อคะ” มาซากิเรียกชายร่างท้วมที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในห้อง
เรียวเงยหน้ามองก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “มาซากิ”
“สวัสดีค่ะ” มาซากิยกมือไหว้แล้วเดินเข้าไปใกล้ กาลเวลาแทบไม่ทำให้พ่อของเธอดูเปลี่ยนไปเลย มีเพียงร่องรอยของความชราบนใบหน้า และรูปร่างที่ดูจะท้วมขึ้นนิดหน่อย
“เป็นยังไงบ้างลูก เดินทางเหนื่อยไหม” เรียวถามพลางโอบมาซากิไปนั่งที่โซฟา
“ไม่หรอกค่ะ ใกล้แค่นี้เอง” ตอบพร้อมกับกอดพ่อแน่นด้วยความคิดถึง
“หิวมั้ยลูก อยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวพ่อให้แม่บ้านทำให้” ถามอย่างอ่อนโยนจนทำให้มาซากิเงยหน้ามองพ่อของตัวยิ้มๆ
“ว่าไงลูก หิวมั้ย?”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูยังไม่หิว ว่าแต่พ่อเถอะ เมื่อกี๊คุณเคนบอกว่าพ่อป่วย เป็นอะไรเหรอคะ”
“พ่อไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกลูก แค่ไข้หวัดนิดหน่อยน่ะ”
“แล้วทานยาหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วลูก ตอนนี้พ่อก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว พ่อว่าตอนนี้ลูกไปพักผ่อนก่อนดีไหม เดินทางมาหลายชั่วโมง พ่อให้คนจัดห้องไว้ให้ลูกแล้ว” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วดึงมือมาซากิให้ยืนด้วยก่อนจะพาเดินออกไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง
“ห้องของลูกอยู่ตรงข้ามกับห้องพ่อ ส่วนห้องนี้” เรียวชี้มือไปที่ห้องข้างๆ “เป็นห้องนอนของเคน ผู้ช่วยพ่อ คนที่ไปรับลูกนั่นแหละ”
“ค่ะ” มาซากิพยักหน้ารับรู้
“ลูกพักผ่อนไปก่อนแล้วกัน นี่เพิ่งบ่าย เดี๋ยวตอนเย็นพ่อจะมารับลูกไปกินข้าว” เรียวบอกอย่างใจดีแล้วเปิดประตูให้มาซากิเข้าไปในห้อง เขายิ้มให้ลูกสาวนิดหนึ่งก่อนจะปิดประตูแล้วเดินลงไปด้านล่าง
มาซากิสำรวจห้องนอนใหม่ของตัวเอง ทุกสิ่งดูแปลกตาไปจากห้องเดิมที่เคยนอน ไม่ว่าจะเป็นโทนสี ของตกแต่ง หรือแม้แต่รูปแบบของเตียงนอน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ เพราะการนอนต่างที่ต่างถิ่นเป็นเรื่องปกติสำหรับมาซากิไปซะแล้ว
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้มาซากิลุกจากเตียงไปเปิด เคนยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
“เป็นไงครับ อยู่ได้หรือเปล่า?” ถามพร้อมกับแอบมองหน้าสวยหวานที่เปิดประตูออกมา
“ได้ค่ะ ฉันอยู่ได้”
“อยากได้อะไรเพิ่มเติมมั้ยครับ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”
“ถ้ามีอะไรบอกผมได้นะครับ ผมอยู่ห้องข้างๆ”
“ค่ะ ขอบคุณมาก” พูดจบก็ยิ้มให้อย่างขอบคุณ แล้วเคนก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเองด้วยอาการใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มาซากิจึงปิดประตูแล้วถอดแว่นกันแดดวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ที่สะท้อนอยู่ในกระจก ดวงตากลมโตแต่มีอำนาจ จมูกโด่งเป็นสันเหมือนพ่อ และริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนเหมือนแม่
“มาซากิ หิวหรือยังลูก ไปกินข้าวกัน” เสียงเรียกที่ดังมาจากหน้าประตูปลุกให้มาซากิตื่นจากการหลับใหล เธอลูกขึ้นไปเปิดประตูห้องนอน
“หลับอยู่เหรอลูก” เสียงพ่อถามอย่างอ่อนโยนทำให้มาซากิยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะตอบ
“ค่ะ”
“ลูกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ พ่อจะพาไปกินอาหารอร่อยๆ”
มาซากิพยักหน้าแล้วปิดประตูไว้อย่างเดิมก่อนจะกลับมาเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดที่จะใส่ไปเปลี่ยนในห้องน้ำ
เรียวกับเคนนั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นสักพักก็เห็นมาซากิเดินลงมาจากชั้นบนในชุดเสื้อยืดคอวีกับเดนิมสีชมพูสด โดยที่ไม่ลืมจะสวมแว่นกันแดดอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
เคนยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งก่อนจะเดินนำไปที่รถที่จอดรออยู่แล้ว
“วันนี้ฉันขับเอง” เคนบอกเซจิก่อนจะรับกุญแจมาจากเขาแล้วเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ
สักพักมาซากิกับเรียวก็เดินมาขึ้นรถ เคนจึงเอ่ยถาม “ไปที่ไหนดีครับ”
“ไปร้านประจำของฉัน” เคนพยักหน้านิดหนึ่งก็ขับรถออกจากบ้านทันที
“มาซากิ พรุ่งนี้จะมีงานเปิดตัวเพชรที่โรงแรมนี้ พ่ออยากให้ลูกไปออกงานแทนพ่อที” เรียวเอ่ยขึ้นหลังอาหารมื้อเย็นของวันหนึ่งพลางหยิบการ์ดเชิญขึ้นมาส่งให้มาซากิ
“ทำไมล่ะคะ พ่อไปกับหนูด้วยไม่ได้เหรอ”
“พ่อติดงานน่ะลูก ใจจริงพ่อก็อยากไป จะได้ถือโอกาสเปิดตัวลูกสาว แต่พ่อมีงานด่วนที่ต้องทำ ลูกไปแทนพ่อทีนะ”
“แต่หนูไม่รู้จักใครเลยนะคะ หนูคงทำตัวไม่ถูก” มาซากิแย้ง
“ไม่ต้องกลัวลูก เคนจะเป็นคนดูแลหนูเอง”
มาซากิหันไปมองหน้าเคนนิดหนึ่งจึงเห็นว่าเขาส่งยิ้มมาให้ก่อนแล้ว เธอจึงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะตอบพ่อ “ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เคนจะพาลูกไปเลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวนะ”
“ค่ะ” มาซากิรับคำแล้วยิ้มหวานให้คนเป็นบิดา แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้ใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“มาซากิ” เสียงเคนดังอยู่หน้าประตูห้อง มาซากิหันไปมองนิดหนึ่งก่อนจะตะโกนบอกเขา
“แป๊บเดียวค่ะเคน” แล้วมัดผมเป็นหางม้า เสร็จแล้วจึงสวมแว่นกันแดดและหยิบกระเป๋าสะพายคู่ใจเดินไปเปิดประตู
“ผมนึกว่าคุณยังไม่ตื่น” เคนบอกยิ้มๆ เมื่อมาซากิก้าวออกมาจากห้องนอน
“วันนี้ตื่นสายนิดหน่อยน่ะค่ะ” บอกยิ้มๆ แล้วเดินนำลงไปด้านล่าง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนมองหัวใจเต้นแรงแค่ไหน
“คุณไม่หิวเหรอครับ” เคนถามเมื่อเห็นมาซากิดื่มแค่น้ำส้มคั้นแก้วเดียว
“ไม่ค่อยหิวค่ะ เมื่อคืนกินเยอะไปหน่อย” ตอบพร้อมกับยิ้มโชว์ฟันเรียงเป็นระเบียบ ทำให้เคนที่มองอยู่เกิดอาการใจเต้นแปลกๆ อีกครั้ง
“ถ้างั้นเราไปกันเลยดีกว่าครับ” เคนบอกก่อนจะเดินนำไปที่รถ
“ถ้าคุณกลัวจะเบื่อ คุณนั่งรอแถวนี้ก็ได้นะคะ เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันจะมาหาเอง” มาซากิบอกเคนเมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้าหรู
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไปกับคุณด้วยดีกว่า จะได้ช่วยถือของ”
“ถ้างั้นก็ตามใจค่ะ ดีเหมือนกัน คุณจะได้ช่วยฉันเลือก” จบคำพูดด้วยยิ้มหวาน ทำเอาเคนที่ยืนมองอยู่ถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว
‘ผู้หญิงอะไร ยิ่งยิ้มก็ยิ่งสวย ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นแชมป์แม่นปืน’ เคนคิดในใจก่อนจะเดินตามมาซากิที่ออกเดินนำไปก่อนแล้ว
“อยากได้ชุดแบบไหนดีคะ” พนักงานสาวในร้านถามมาซากิเป็นภาษาญี่ปุ่น
“ชุดราตรียาวค่ะ” และมาซากิก็ตอบกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นเช่นกัน
“คุณพูดญี่ปุ่นได้ด้วยเหรอ” เคนถามแทรกขึ้นมาเป็นภาษาไทย
“ได้สิคะ อย่าลืมสิว่าพ่อฉันเป็นคนญี่ปุ่นนะ” มาซากิตอบก่อนจะยิ้มให้ ทำเอาเคนใจเต้นแรงอีกแล้ว
“เชิญด้านนี้เลยค่ะ” เสียงพนักงานในร้านดังขึ้นอีกครั้ง มาซากิจึงเดินตามไป
ชุดราตรีในร้านมีให้เลือกมากมายจนมาซากิเลือกเองไม่ถูก จึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เคน คุณว่าฉันจะใส่ชุดไหนดีคะ”
“ชุดไหนก็ได้ครับ คุณใส่ชุดอะไรก็สวย” เคนบอกอย่างลืมตัว
“อะไรนะ?”
“ผมบอกว่า ชุดมันสวยทุกชุดแหละครับ ใส่ชุดไหนก็ได้” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ และมาซากิก็ไม่ไดติดใจอะไร
“ฉันชอบสองชุดนี้น่ะ คุณช่วยตัดสินใจหน่อยสิ” มาซากิถามอีกครั้งก่อนจะยกชุดราตรีทั้งสองชุดชูให้เคนดู
“ผมว่ามันดูคล้ายๆ กันนะ”
“ใช่ค่ะ มันคล้ายๆ กัน แต่คุณดูสิ ชุดสีชมพูนี่มันเรียบ แต่หรู ส่วนชุดสีครีมนี่มันเป็นทรงแบบที่ฉันชอบ แต่มันโป๊ไปหน่อย คุณว่าไงคะ”
“โป๊ยังไง” เคนถามเพราะไม่เห็นว่าชุดราตรีสายเดี่ยวตรงหน้าจะโป๊ตรงไหน
“ดูสิคะ คอมันกว้างนะ”
“แล้วชุดสีชมพูล่ะ”
“ชุดนี้ฉันก็ชอบค่ะ แต่ว่ามันยาวพอดีไป คุณอย่าลืมว่าฉันสูง แล้วถ้าใส่ส้นสูง แล้วกระโปรงมันยาวแค่นี้ มันจะดูไม่สวย” มาซากิอธิบาย
“ถ้างั้นก็เอาชุดสีครีมสิครับ”
“แต่มันโป๊นะ ดูสิ เว้าหน้าเว้าหลังเลย” แย้งเสียงอ่อยทั้งที่ใจจริงก็อยากได้
“ผมว่าคุณลองไปใส่ดูก่อนดีมั้ย ถ้ามันโป๊มากไปเราก็ค่อยเปลี่ยนเอาชุดอื่น” เคนเสนอ
“ก็ได้ค่ะ” แล้วมาซากิก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยการถือชุดเข้าไปเปลี่ยนในห้องลอง สักพักก็ตะโกนเรียกเคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เคน คุณมาช่วยดูหน่อยสิ”
“คุณก็ออกมาสิ ผมยืนอยู่หน้าห้องแล้ว”
มาซากิลังเลอยู่นานกว่าจะยอมเปิดประตูห้องลองชุดแล้วเดินออกมา เคนที่ยืนรออยู่แล้วถึงกับตาค้างเมื่อเห็นมาซากิในชุดราตรีสายเดี่ยวเข้ารูปเผยให้เห็นรูปร่างและส่วนโค้งเว้าอันลงตัวที่ธรรมชาติสร้างให้ สีครีมช่วยขับผิวที่ขาวอยู่แล้วให้ดูสว่างมากขึ้น เคนจ้องมองภาพนั้นอยู่นานกว่าที่จะเอ่ยออกมา
“สวย สวยมาก”
มาซากิเขินหน้าแดงกับคำชมซึ่งๆ หน้าของเคน
“คุณว่าโป๊มั้ยคะเคน” เสียงของมาซากิเรียกสติของเคนกลับมา
“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ใส่แบบนี้กันทั้งนั้น” เคนตอบตะกุกตะกักเพราะยังตะลึงไม่หาย
“ถ้างั้นเอาชุดนี้นะคะ” มาซากิขอความเห็นอีกครั้ง
“ครับ”
“ถ้างั้นคุณรอก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนใส่ชุดเดิมก่อน” บอกเคนเสียงเบาแล้วหมุนตัวกลับไปเปลี่ยนชุดในห้องลองทันที ปล่อยให้เคนยืนยิ้มอยู่กับความงามที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ไม่อยากจะเชื่อเลย แค่เลือกซื้อเสื้อผ้าของเราสองคนนี่ใช้เวลาเกือบทั้งวัน” มาซากิเอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้ามานั่งในร้านอาหารภายในห้างฯ
“ครับ”
“อีกสามชั่วโมงงานก็จะเริ่มแล้ว กินข้าวเสร็จเราก็คงต้องไปกันเลย”
“ครับ”
“แต่คงจะนานหน่อยแหละ เพราะฉันต้องแต่งหน้าทำผมอีก”
“ครับ”
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เหนื่อยเหรอ?” มาซากิถามอย่างห่วงใย
“เปล่าหรอกครับ”
“แล้วคุณเป็นอะไรไปคะ ครับๆ อย่างเดียวเลย”
“ผมคงหิวน่ะ” เคนตอบพร้อมรอยยิ้ม มาซากิจึงยิ้มตาม
“ขอโทษทีนะคะ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะนานขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมาก” บอกออกไปอย่างนั้น แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่คิดมาก
‘นี่เราเป็นบ้าอะไรวะเคน ลูกสาวเจ้านายนะเว้ย!’ เคนบอกตัวเองในใจ แต่คิ้วของเขาก็แทบจะผูกกันเป็นโบจนมาซากิสังเกตเห็น
“คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าเคน”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ทานข้าวเถอะ อาหารมาแล้ว” เคนตัดบทเมื่อบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ มาซากิพยักหน้าแต่ก็ยังไม่หายสงสัย
“พร้อมมั้ยครับ” เคนถามมาซากิเมื่อทั้งสองคนมายืนอยู่บริเวณหน้าห้องบอลรูมของโรงแรมแล้ว วันนี้เคนใส่สูทเต็มยศที่มาซากิเป็นคนเลือกให้ ผมที่เคยยุ่งไม่เป็นทรงถูกเซ็ตมาอย่างดี ส่งผลให้หน้าหล่อๆ ของเขาดูดีมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ส่วนมาซากิก็ใส่ชุดราตรีสายเดี่ยวเข้ารูปสีครีม ใบหน้าสวยหวานถูกตกแต่งอย่างดีโดยช่างแต่งหน้ามืออาชีพ ผมตรงยาวสลวยก็ถูกม้วนเป็นลอนหลวมๆ แล้วปล่อยลงมาเคลียแผ่นหลัง เคนเผลอมองอย่างลืมตัวพลางคิดในใจ ‘นางฟ้า’
“ตื่นเต้นจังเลยค่ะ” เสียงสั่นๆ ของมาซากิดึงให้เคนออกมาจากภวังค์ของตัวเอง
“ใจเย็นๆ ครับ หายใจเข้าลึกๆ” เคนตบหลังมือมาซากิเบาๆ และเธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“เราจะเข้าไปข้างในกันแล้วนะ” เคนบอกอีกครั้ง เมื่อเห็นมาซากิพยักหน้า เขาจึงยื่นแขนซ้ายออกมา และมาซากิก็คล้องแขนตัวเองเข้ากับแขนของเขาแล้วก้าวเข้าไปในงานพร้อมกัน
ทันทีทั้งสองคนควงกันเข้าไป แสงแฟลชวิบวับก็กระทบกับใบหน้าของทั้งสองจนตาลาย เคนไม่ได้พูดอะไรนอกจากบีบมือของมาซากิที่ควงแขนเขาอยู่เบาๆ ส่วนมาซากิก็ได้แต่ยิ้มหวานให้กับผู้คนในงานอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
“อ้าว เคน” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆ ทำให้เคนหันไปมองแล้วเอ่ยทัก
“สวัสดีคุณโยชิ” เคนก้มหัวให้เขานิดหนึ่งก่อนจะแนะนำมาซากิให้โยชิรู้จัก
“นี่คุณ
“สวัสดีครับคุณมินาวะ” โยชิทักทายมาซากิ
“สวัสดีค่ะ”
หลังจากนั้นเคนก็แนะนำมาซากิให้แขกผู้ใหญ่ในงานได้รู้จักจนได้เวลาเริ่มพิธีเปิด พิธีกรก้าวขึ้นไปบนเวทีและพูดถึงงานเปิดตัวในครั้งนี้ แต่เคนและมาซากิไม่ได้สนใจฟัง เนื่องจากมาซากิบ่นว่ากระหายน้ำ
“คุณรอผมตรงนี้นะ ผมจะไปเอาน้ำมาให้” เคนบอกพร้อมกับปลดมือมาซากิออกจากแขนเขาแผ่วเบา
“ฉันไปเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมไปเอาให้ดีกว่า คุณนั่งรอผมตรงนี้แหละ”
“ค่ะ” มาซากิรับคำ เคนจึงผละไปอย่างรวดเร็ว โดยที่บนเวทีก็ได้เริ่มมีการเดินแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรคอลเลกชั่นต่างๆ จนมาถึงชุดสุดท้าย ซึ่งเป็นชุดใหญ่ที่สุดของงานนี้ มาซากิมองความสวยของมันอย่างตื่นเต้น และเมื่อนางแบบถอดสร้อยเพชรออกจากคอตัวเองเพื่อโชว์ ไฟก็ดับพรึบลงทันที
เสียงร้องอย่างแตกตื่นของผู้คนดังระงมไปทั่วงาน มาซากิตะปบปืนที่โคนขาของตัวเองอย่างรวดเร็วพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็เห็นอะไรไม่ชัดนักเนื่องจากความมืด ได้ยินเพียงเสียงโหวกเหวกและเสียงกรีดร้องของบรรดานางแบบและคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย มือบางของมาซากิค่อยๆ เลิกกระโปรงชุดราตรีของตัวเองขึ้นสูงและหยิบปืนออกมาถือ ได้ยินเสียงเคนตะโกนเรียกเธออยู่ไกลๆ เธอจึงขยับตัวจะเดินเข้าไปหาแต่ก็มีคนวิ่งมาชนเธอซะก่อน
พลั่ก!
ทั้งคนที่วิ่งมาชนและมาซากิล้มกลิ้งลงไปกับพื้นทั้งคู่ จากน้ำหนักตัวที่ทับลงมาทำให้เธอพอจะเดาได้ว่าคนคนนี้เป็นผู้ชาย
“ขอโทษครับ” เขาละล่ำละลักขอโทษและวิ่งหนีออกไปทันที
แต่ในจังหวะที่เขาวิ่งออกไปนั้น ถุงผ้าที่เขาถืออยู่กระทบเข้ากับแขนของมาซากิ ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือของแข็ง สัญชาตญาณจึงสั่งให้มาซากิวิ่งตามไปทันทีโดยไม่ลืมตะโกนบอกเคน
“เคน ฉันอยู่ทางนี้”
เคนที่กำลังมองหามาซากิอยู่ได้ยินเสียงเรียกจึงรีบวิ่งไปตามเสียงแต่ก็ต้องชนเข้ากับโต๊ะที่ตั้งอยู่ทำให้เขาล้มไม่เป็นท่า ก่อนจะลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเสียงมาซากิไปอีกครั้ง
“มาซากิ คุณอยู่ไหน” เคนตะโกนถามทั้งที่ยังไม่หยุดวิ่ง สายตาของเขาสอดส่องไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาร่างคุ้นตา แต่ก็ไม่พบ
เคนวิ่งไปเรื่อยๆ จนออกมาหน้าโรงแรม แต่ก็ยังไม่เจอแม้แต่เงาของมาซากิ ในใจของเขาเริ่มกระวนกระวาย “คุณ
มาซากิวิ่งตามชายแปลกหน้าออกมาจนถึงด้านหลังโรงแรม เขาวิ่งลัดเลาะไปตามทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มาซากิก็วิ่งตามไปโดยไม่สนใจชุดและรองเท้าที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการวิ่งเช่นกัน
“หยุดนะ!” มาซากิตัดสินใจตะโกนบอกออกไป ผู้ชายตรงหน้าชะงักนิดหนึ่งแล้วหันมามอง แต่ก็ยังไม่หยุดวิ่ง มาซากิจึงต้องวิ่งตามไปอีก
“ตามมาทำไมนังบ้า อยากตายรึไง!” ชายแปลกหน้าตะโกนกลับมา
“ฉันบอกให้หยุด!” มาซากิตะโกนขึ้นอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่หยุด มาซากิจึงตัดสินใจหันกระบอกปืนขึ้นฟ้าแล้วยิง
ปัง!!
เคนที่กำลังวิ่งตามหามาซากิได้ยินเสียงปืนก็ตกใจ รีบวิ่งไปตามเสียงทันที
“ขอให้เป็นคุณ
ร่างผอมแห้งของชายที่วิ่งอยู่ด้านหน้ามาซากิชะงัก หันกลับมามองอย่างตกใจ เมื่อเห็นปืนในมือมาซากิ เขาจึงเริ่มต้นวิ่งหนีอีกครั้ง มาซากิก็ยังคงไม่ละความพยายาม วิ่งตามไปเรื่อยๆ โดยไม่นำพากับความเหนื่อยและล้าของขาทั้งสอง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” มาซากิตะโกนขึ้นอีก แต่ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ยังไม่ยอมหยุดแถมยังตะโกนกลับมาเป็นภาษาญี่ปุ่นรัวเร็ว
“บ้าหรือเปล่า ตามมาทำไม!”
“แกขโมยเพชรมาใช่มั้ย”
“เพชรอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง!” เขาตะโกนตอบโดยที่ยังคงวิ่งต่อไป ส่วนมาซากิก็วิ่งตามอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งที่เริ่มหายใจหอบ เธอวิ่งตามคนแปลกหน้าไปเรื่อยๆ วิ่ง วิ่ง และวิ่ง จนมาซากิเริ่มสังเกตเห็นว่าสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เป็นซอยเล็กๆ แต่มีไฟสว่างไสว ตอนนี้กลับเป็นเพียงแค่ซอยแคบขนาดรถจักรยานสวนกันได้ และแทบจะไม่มีไฟส่องให้เห็นทาง โชคดีที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เธอจึงสามารถมองเห็นหลังไวๆ ของชายแปลกหน้าที่เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นคนขโมยเพชรมาแน่ๆ
“มาซากิ คุณอยู่ไหน” เคนตะโกนขึ้นท่ามกลางความเงียบของค่ำคืน เขาวิ่งตามเสียงปืนมาจนถึงหลังโรงแรม และวิ่งต่อมาในซอยเล็กที่มีบ้านคนอยู่กันหนาแน่นแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของมาซากิ
“มาซากิ คุณได้ยินผมมั้ย?” เคนตะโกนซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ยังมีแต่ความเงียบเหมือนเดิม แต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุดการค้นหา เพียงแค่นึกว่ามาซากิอาจจะได้รับอันตราย หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เคนจึงตัดสินใจยิงปืนขึ้นฟ้า
ปัง!!
มาซากิที่กำลังวิ่งตามหัวขโมยได้ยินเสียงปืนก็ชะงักนิดหนึ่ง แต่ก็วิ่งตามหัวขโมยต่อไปพร้อมกับตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“ตำรวจกำลังตามมา เขาจะมาจับแกเข้าคุก!”
“ไม่มีทาง!!”
“แกไม่เชื่อฉันเหรอ ไม่ได้ยินเสียงปืนเมื่อกี๊หรือไง ตำรวจกำลังจะมา!!” มาซากิพูดขู่ ทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นตำรวจจริงๆ หรือเปล่า
“ตำรวจทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” หัวขโมยตะโกนกลับมาอีกครั้ง มาซากิที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะวิ่งช้าลงเรื่อยๆ ตะโกนขู่
“ถ้าแกไม่หยุดฉันจะยิงแก!” ได้ผล ร่างผอมแห้งตรงหน้าหยุดวิ่งทันทีก่อนจะหันมาช้าๆ ความมืดทำให้มาซากิไม่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของมัน
“ดี แล้วก็บอกมาซิว่าแกขโมยเพชรในงานมาใช่มั้ย” มาซากิหยุดวิ่ง เปลี่ยนเป็นก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้าไปหา โดยที่ปลายกระบอกปืนเล็งอยู่ที่หัวของผู้ชายตรงหน้า
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม แกจะทำอะไรฉันได้” พูดจบก็แสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด
“แกคิดว่าฉันไม่กล้ายิงแกเหรอ” มาซากิเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นอีก
“เก่งมาจากไหนกันสาวน้อย” เสียงต่ำๆ ดังขึ้นที่ด้านหลังมาซากิ สักพักก็มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนโผล่ออกมาจากที่ซ่อน
มาซากิหันกลับไปมองทันที โดยที่ยังไม่ลืมชำเลืองมองหัวขโมยเป็นระยะๆ
“พวกแกเป็นใคร” ทำใจกล้าถามออกไปทั้งที่ข้างในเริ่มจะสั่นแล้ว เท่าที่มาซากิเห็นตอนนี้คือผู้ชายตัวใหญ่เหมือนหมีสองคน ถ้าเป็นเวลาปกติ เธอคงจะไม่กลัว เพราะดีกรีเทควันโดสายดำสามารถคว่ำคนพวกนี้ลงได้อย่างง่ายๆ แต่ตอนนี้เธอรู้ตัวเองดี เธอเหนื่อยและล้าเกินกว่าจะมาสู้กับพวกมัน ถึงแม้เธอจะได้เปรียบกว่าเพราะมีอาวุธก็เถอะ
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่ว่าเธอ สาวน้อย เธอไม่น่าเข้ามายุ่งเลย ตอนแรกกะว่าจะเอาแค่เพชรอย่างเดียว แต่ตอนนี้ได้สาวน้อยมาเป็นของแถมอีกอย่างแล้ว” ชายร่างใหญ่หนึ่งในสองพูดขึ้น
“พวกแกขโมยเพชรมาจริงๆ ใช่มั้ย” มาซากิถามอีกครั้ง
“ใช่” คำเดียวสั้นๆ ทำให้มาซากิยิ้มออกมานิดหนึ่ง ที่อย่างน้อยเธอก็ยังวิ่งตามคนไม่ผิด
“เลว!” มาซากิตวาดขึ้น
“นังนี่!” ผู้ชายตัวใหญ่คนแรกเงื้อมือขึ้นจะเข้ามาตบมาซากิ แต่อีกคนห้ามไว้ก่อน
“อย่า” มาซากิเหลือบมองหัวขโมยด้านหลังอีกครั้งก็เห็นว่ามันกำลังจะหนี เธอจึงยิงปืนไปใกล้ๆ กับที่มันยืน
ปัง!!
“จะหนีไปไหน!” มันหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วหันหน้ากลับมาอย่างเดิม
“จะเก่งเกินไปแล้วสาวน้อย” ผู้ชายตัวใหญ่พูดขึ้นอีก
“แบบนี้แหละ พี่ชอบ” อีกคนทำหน้าตาน่าขยะแขยงแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ มาซากิจึงหันปลายกระบอกปืนไปจ่อที่หน้าผากของมันทันที
“ถอยออกไปเดี๋ยวนี้เลย” มาซากิสั่งเสียงดัง
“เป็นผู้หญิง อย่าซ่าให้มากนักเลย” มันพูดขึ้นอีก
“ออกไป!” มาซากิกระชากเสียง ตาวาววับด้วยความโกรธ
“ฮ่าๆๆ ดุซะด้วย” อีกคนหัวเราะแล้วก้าวเท้าเข้ามาใกล้มาซากิเช่นกัน
“ฉันบอกให้ออกไปไง!” มาซากิตวาดอีกครั้ง ในใจก็นึกถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
“มาซากิ!” เสียงเคนดังอยู่ไกลๆ ทำให้มาซากิตกใจหันไปมอง และในจังหวัดที่เธอเผลอ ผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งก็กระชากปืนออกมาจากมือของเธอ ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อทำให้กระบอกปืนไปอยู่ในมือของผู้ชายตัวโตตรงหน้าอย่างง่ายดาย มาซากิตกใจจะคว้าปืน แต่ก็ถูกอีกคนจับไว้ซะก่อน
“พาไป” คนที่แย่งปืนไปจากมาซากิสั่ง อีกคนก็ออกแรงลากมาซากิไปทันที โดยที่เธอได้แต่ดิ้นไปดิ้นมาให้หลุดจากการจับกุม แต่เรี่ยวแรงที่น้อยลงทุกทีก็ไม่สามารถทำให้มาซากิหลุดออกไปได้ เธอจึงตะโกนขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย
“เคน!!!”
เคนที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าได้ยินเสียงของมาซากิจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก ในใจก็ภาวนาขอให้ตำรวจตามมาเร็วๆ
“มาซากิ!” เคนตะโกนขึ้นอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงโวยวายของมาซากิอยู่ใกล้ๆ จึงรีบวิ่งไปบริเวณนั้นทันที
และเมื่อไปถึง ภาพที่เห็นก็ทำให้เคนเกือบล้มทั้งยืน มาซากิที่ถูกมัดมือมัดเท้านั่งคอพับคออ่อนอยู่ที่พื้น ใบหน้าบวมช้ำเนื่องจากโดนทำร้าย ชุดหลุดลุ่ยฉีกขาดโดยมีชายร่างใหญ่สองคนช่วยกันดึงทึ้งเสื้อผ้าชุดนั้น
“ไอ้เลว!!” เคนตะโกนแล้วเหนี่ยวไกยิงใส่ทั้งสองคนทันที
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นเพียงครู่ก็หายไปพร้อมกับร่างใหญ่สองร่างล้มลงกับพื้น เคนจึงรีบวิ่งเข้าไปดูมาซากิ
“มาซากิ มาซากิ” เคนเขย่าตัวเพื่อเรียกสติ มาซากิเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นว่าเป็นเคน เธอจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ฉันดีใจที่คุณมาช่วย” และสลบไปในอ้อมกอดของเคน
หลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ โจรตัวใหญ่ทั้งสองคนยังไม่ตาย แต่คนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส ส่วนหัวขโมยเพชร ก็ถูกจับได้ภายในคืนเดียวกัน ส่วนมาซากิก็กลับมานอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านโดยมีเคนคอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง เคนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เรียวฟังรวมทั้งสารภาพว่าเขาหลงรักมาซากิ
“ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าเธอสองคนจะรักกัน ฉันไม่แปลกใจเลย เพราะมาซากิเป็นเด็กนิสัยดี ร่าเริง ใครอยู่ใกล้ก็ต้องหลงรักทั้งนั้น” เรียวบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้องของมาซากิ เคนเห็นด้วยกับเรียวอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะการที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับมาซากิในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน ความรู้สึกดีๆ ก็เกิดขึ้นมากมายจนกลายเป็นความรัก เคนหันไปมองมาซากิที่ยังหลับใหลอีกครั้งแล้วกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“ผมรักคุณนะมาซากิ”
“ฉันก็รักคุณค่ะเคน” มาซากิกระซิบตอบ เคนมองหน้ามาซากิด้วยความตกใจ สักพักมาซากิจึงลืมตาขึ้นแล้วพูดซ้ำอีกครั้ง “ฉันรักคุณค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นเคนเกิดอาการดีใจจนพูดไม่ออก ได้แต่ดึงมาซากิเข้ามากอดไว้นิ่งนาน
สำหรับมาซากิ เธอก็ยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าหลงรักเคนตั้งแต่ตอนไหน สิ่งเดียวที่บอกได้คือเธอไม่เคยเห็นใครที่ดีกับเธอมากขนาดนี้มาก่อน และเธอเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเช่นกัน
ความรักแบบไม่รู้ตัวของทั้งสองก็เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้น และยาวนานมาจนถึงวันนี้
ผลงานอื่นๆ ของ หมีน้อยแก้มป่อง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ หมีน้อยแก้มป่อง
ความคิดเห็น